การเคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้" ![]() การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND) และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลอง จำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้ ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร การเคี้ยวอาหาร 30 ที ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ การเคี้ยวอาหาร 50 ที จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย การเคี้ยวอาหาร 100 ที ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่างๆ อย่างสงบเยือกเย็น กินน้อยแต่ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย การเคี้ยวอาหาร 200 ที ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แม่นยำมากขึ้น |
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กินอย่างไร ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
กินไข่อย่างไร..ได้ประโยชน์สูงสุด
| |
![]() อาหาร ที่ทำจากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้ และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราปรุงไข่แบบ สุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก แทนที่จะได้ประโยชน์อาจเป็นโทษต่อร่างกายและอาจจะไม่ปลอดภัยจากเชื้อไข้หวัดนก การรับประทานไข่ดิบหรือไข่ที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ หากไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับรับประทานไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น “อัลบูลมิน” ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาลำไส้ ย่อยได้ยาก นอกจากนี้การรับประทานแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพียงเพราะกลัวไขมันคอเลสเตอรอลสูงจากไข่แดง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ “อะวิดิน” ไปจับกับ “ไบโอติน” ในร่างกาย ทำให้ร่างกายขาด “ไบโอติน” (ซึ่ง“ไบโอติน” เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิวที่ทำให้แก่ก่อนวัย) สำหรับผู้ใหญ่ที่สุขภาพร่างกายปกติ สามารถรับประทานไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง ในกรณีที่มีไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง หรือมีภาวะโรคอ้วน ควรปรึกษาแพทย์ โดยสามารถรับประทานได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือรับประทานเฉพาะไข่ขาวได้ทุกวัน เพราะไข่ขาวจะไม่มีคอเลสเตอรอล สำหรับ เด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียนไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถรับประทานไข่ได้วันละ 1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลังงานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง ด้านร่างกายและ สติปัญญา ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด

กาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษหากดื่มไม่ถูกวิธี ก่อนจะรู้ว่าดื่มกาแฟอย่างไรจะเกิดประโยชน์สูงสุด เรามาดูผลดี ผลเสียของกาแฟกันก่อนนะค่ะ
หากดื่มกาแฟในปริมาณที่พอเหมาะ จะเกิดผลดีต่อร่างกายดังนี้ค่ะ
กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานต่อเนื่อง เช่น ทำงานรอบดึก ควบคุมเครื่องจักรกล รวมถึงผู้ขับขี่รถยนต์ระยะทางไกลๆ โดยกลไกการออกฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีนนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากคาเฟอีนไปยับยั้งการทำงานของสารอะดีโนซีน (adenosine) ทำให้เซลล์ประสาทมีความไวมากกว่าปกติ มีการหลั่งของสารสื่อประสาท เช่น ซีโรโทนิน (serotonin) นอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) เพิ่มขึ้น ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายตื่นตัว ลดอาการง่วงนอน
ช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการออกกำลังกาย กลไกนี้มาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการหลั่งของสารสื่อประสาทเคทีโคลามีน (cetecholamine) ซึ่งจะไปกระตุ้นการสลายไขมันในเนื้อเยื่อให้เป็นพลังงาน ดังนั้นคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปไกลโคเจน (glycogen) จึงยังคงเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สะสมในกล้ามเนื้อ ร่างกายจึงทนทานต่อกิจกรรมที่ใช้แรงมากได้นานขึ้น
หากดื่มกาแฟปริมาณมากเกินไป จะเกิดผลเสียต่อร่างกายดังนี้ค่ะ
หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ เต้นไม่เป็นจังหวะ เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง อัตราการบีบตัวของหัวใจและปริมาณเลือดที่สูบฉีดต่อนาทีจะเพิ่มขึ้น
นอนไม่หลับ หากร่างกายได้รับคาเฟอีนสูงกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้นอนหลับยาก หลับไม่สนิท และช่วงเวลาที่หลับนั้นสั้นลง
เร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร คาเฟอีนมีฤทธิ์ไปกระตุ้นการหลั่งกรดเพปซิน (pepsin) และแกสตริน (gastrin) อาจทำให้โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้รุนแรงขึ้นได้
ปัสสาวะบ่อยๆ คาเฟอีนมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ โดยจะไปลดการดูดกลับของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซียมจากหน่วยไต แร่ธาตุเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมปัสสาวะ จึงมีข้อสันนิษฐานว่า หากมีการสูญเสียแคลเซียมออกจากร่างกายบ่อยๆ ในปริมาณมาก อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในหญิงวัยหมดประจำเดือนได้
ปวดศีรษะ ผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ หากหยุดดื่มกะทันหันจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ กระสับกระส่าย ร่างกายอ่อนเพลีย และง่วงนอน
เมื่อรู้ผลดีผลเสียของกาแฟกันแล้ว ก็มาดูกันเลยค่ะว่าดื่มกาแฟอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ควรสังเกตว่าตัวคุณเอง มีความไวของการตอบสนองต่อปริมาณกาแฟกี่ถ้วย มีอาการอย่างไรบ้าง เพื่อหาปริมาณที่เหมาะสมสำหรับตนเอง
หากมีอาการนอนหลับยาก ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในช่วงบ่ายหรือช่วงหัวค่ำ
ไม่ควรดื่มกาแฟขณะท้องว่าง เนื่องจากคาเฟอีนเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อหักโหมทำงาน และอดนอนติดต่อกันหลายๆ คืน แม้ว่าคาเฟอีนช่วยให้ร่างกายตื่นตัวจริง แต่สมองต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรับรู้
หากคุณเป็นผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ควรกินอาหารที่เป็นแหล่งของแคลเซียมเพิ่มเติม เช่น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย คะน้า บรอกโคลี เป็นต้น เพื่อทดแทน แคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ และลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน หรืออาจปรับเปลี่ยนโดยการชงกาแฟใส่นมแทนครีมเทียม เป็นต้น
ควรกินผักผลไม้อย่างเพียงพอทุกวัน เนื่องจากในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น วิตามินซี อี และบีตาแคโรทีนในผักผลไม้ เช่น มะเขือเทศ แครอต ผักใบเขียว ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน เป็นต้น จะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายได้
ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากฤทธิ์ในการขับปัสสาวะของคาเฟอีน
ดื่มชาเขียวให้ได้ประโยชน์
ดื่มชาเขียวให้ได้ประโยชน์
เครื่องดื่มประเภทน้ำชามีมาช้านานกว่า 4,700 ปี นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง ยังพบว่าสามารถแก้สาร
พัดโรคได้อีกด้วย เช่น ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสาร
พิษและโรคอื่นๆอีกมากมายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายก็เนื่องจากองค์ประกอบในใบชาที่
เรียกว่า แทนนินหรือ ทีโพลีฟีนอล (Tea polyphenols) สารสำคัญกลุ่มนี้พบมากในพืชเกือบทุกชนิด แต่ละชนิดอาจจะมีโครงสร้างทาง
เคมีที่ แตกต่างกันไป สารแทนนินในใบชาสดหรือชาเขียวที่มีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญได้แก่ สารกลุ่มที่ชื่อว่า คาเทคชินส์ (catechins) ซึ่งนัก
วิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้มากมายหากดื่มเป็นประจำโดยสามารถจับกับอนุมูลอิสระได้หลายชนิดและขัดขวางการปฏิกิริยา
ออกซิเดชั่นจึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งได้ แต่สารสำคัญจากใบชามักจะสลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว
เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและความร้อน ดังนั้นการดื่มชาอาจให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากหรือน้อย หรือไม่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
เลยหรือในทางตรงกันข้ามอาจมีผลเสียต่อร่างกายก็เป็นไปได้
พัดโรคได้อีกด้วย เช่น ต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสาร
พิษและโรคอื่นๆอีกมากมายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายก็เนื่องจากองค์ประกอบในใบชาที่
เรียกว่า แทนนินหรือ ทีโพลีฟีนอล (Tea polyphenols) สารสำคัญกลุ่มนี้พบมากในพืชเกือบทุกชนิด แต่ละชนิดอาจจะมีโครงสร้างทาง
เคมีที่ แตกต่างกันไป สารแทนนินในใบชาสดหรือชาเขียวที่มีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญได้แก่ สารกลุ่มที่ชื่อว่า คาเทคชินส์ (catechins) ซึ่งนัก
วิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้มากมายหากดื่มเป็นประจำโดยสามารถจับกับอนุมูลอิสระได้หลายชนิดและขัดขวางการปฏิกิริยา
ออกซิเดชั่นจึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งได้ แต่สารสำคัญจากใบชามักจะสลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว
เมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและความร้อน ดังนั้นการดื่มชาอาจให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากหรือน้อย หรือไม่ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
เลยหรือในทางตรงกันข้ามอาจมีผลเสียต่อร่างกายก็เป็นไปได้
![]() |
ปัจจุบันมีการตื่นตัวหันมาดูแลสุขภาพกันอย่างกว้างขวางและจากคุณสมบัติในการป้องกันโรค ชาเขียวนับ เป็นหนึ่งในอาหารสุขภาพ
ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในยุคนี้ ชาวจีนและญี่ปุ่นรู้จักการดื่มชาเป็นอย่างดีและชา ที่นิยมดื่มกันมากสุดแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตได้
เป็น 3 ชนิดคือชาดำ ชาอูหลงและชาเขียว
ต้นชามีชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Camellia Sinensis ที่เป็นที่นิยมจะปลูกในพื้นที่สูง อากาศเย็น มีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะ
สม ใบชาที่มีคุณภาพดีจะเป็นส่วนยอดอ่อนของต้นชาและใบอ่อนสองใบแรกเท่านั้น ใบชาจากต้นชาเดียวกันสามารถนำมาผลิตชาได้
ทั้ง 3 ชนิด
1. ชาดำ (Black Tea) เป็นชานำใบมาอบให้แห้ง 16 ชั่วโมงจากนั้นบดด้วยลูกกลิ้งและหมักจนได้ใบชาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำจึง
นำไปอบแห้งอีกครั้ง
2. ชาอูหลง ( Oolong Tea) เป็นชาที่ผ่านขบวนการผลิตเหมือนชาดำแต่มีการหมักเพียงบางส่วน ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า จึงมีสี
น้ำตาล ไม่เข้มเหมือนชาดำ ชาจะมีกลิ่นหอมรสชาติชุ่มคอ
3. ชาเขียว (Green Tea) เป็นชาที่ไม่ผ่านขั้นตอนการหมักเลย เพราะเมื่อเก็บใบชามาได้จะนำมาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อ
ทองแดงโดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปนักและใช้มือคลึงเบาๆ ก่อนแห้ง หรืออบไอน้ำในระยะเวลาสั้นๆ แล้วนำไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทำ
งานของเอนไซม์ จึงได้ใบชาจึงมีความสด และยังมีสีเขียวอยู่มาก การที่ใบชาไม่ผ่านขั้นตอนการหมักทำให้ใบชายังมีสารประกอบฟีนอล
( Phenolic compound ) หลงเหลืออยู่มากกว่า ชาดำกับชาอูหลง ทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าด้วย
ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในยุคนี้ ชาวจีนและญี่ปุ่นรู้จักการดื่มชาเป็นอย่างดีและชา ที่นิยมดื่มกันมากสุดแบ่งตามกรรมวิธีการผลิตได้
เป็น 3 ชนิดคือชาดำ ชาอูหลงและชาเขียว
ต้นชามีชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า Camellia Sinensis ที่เป็นที่นิยมจะปลูกในพื้นที่สูง อากาศเย็น มีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะ
สม ใบชาที่มีคุณภาพดีจะเป็นส่วนยอดอ่อนของต้นชาและใบอ่อนสองใบแรกเท่านั้น ใบชาจากต้นชาเดียวกันสามารถนำมาผลิตชาได้
ทั้ง 3 ชนิด
1. ชาดำ (Black Tea) เป็นชานำใบมาอบให้แห้ง 16 ชั่วโมงจากนั้นบดด้วยลูกกลิ้งและหมักจนได้ใบชาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำจึง
นำไปอบแห้งอีกครั้ง
2. ชาอูหลง ( Oolong Tea) เป็นชาที่ผ่านขบวนการผลิตเหมือนชาดำแต่มีการหมักเพียงบางส่วน ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า จึงมีสี
น้ำตาล ไม่เข้มเหมือนชาดำ ชาจะมีกลิ่นหอมรสชาติชุ่มคอ
3. ชาเขียว (Green Tea) เป็นชาที่ไม่ผ่านขั้นตอนการหมักเลย เพราะเมื่อเก็บใบชามาได้จะนำมาทำให้แห้งอย่างรวดเร็วในหม้อ
ทองแดงโดยใช้ความร้อนไม่สูงเกินไปนักและใช้มือคลึงเบาๆ ก่อนแห้ง หรืออบไอน้ำในระยะเวลาสั้นๆ แล้วนำไปอบแห้งเพื่อยับยั้งการทำ
งานของเอนไซม์ จึงได้ใบชาจึงมีความสด และยังมีสีเขียวอยู่มาก การที่ใบชาไม่ผ่านขั้นตอนการหมักทำให้ใบชายังมีสารประกอบฟีนอล
( Phenolic compound ) หลงเหลืออยู่มากกว่า ชาดำกับชาอูหลง ทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าด้วย
![]() |
คณะนักวิจัยสหรัฐฯ ได้รายงานผลการศึกษาคุณประโยชน์ของชาที่มีต่อสุขภาพในวารสาร "โภชนาการ" ว่า ชามีสรรพคุณเป็นตัวล้าง
พิษอย่างแรง สามารถกวาดล้างสารอนุมูลอิสระซึ่งกัดกร่อนดีเอ็นเอในกระแสเลือด ลงได้ ผลจากการศึกษาพบว่าชาดำสามารถช่วยลด
โคเลสเตอรอลลงได้ 4% และลดไขมันเลว 8% จึงทำให้อันตรายของโรคหัวใจลดลงตามไปด้วยในส่วนขององค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า
ควรดื่มชาในระหว่างอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลังจากดื่มชาประมาณ 30-50 นาที antioxidant activity ในเลือดจะพุ่งพรวดขึ้น
ไป 41-48% และคงอยู่เช่นนั้น นานประมาณ 80 นาที การที่เลือด มี antioxidant activity สูงขึ้นนี้ ย่อมทำให้ตัวร้ายในร่างกายคือ สาร
อนุมูลอิสระถูกขจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็หมายถึงว่าสุขภาพจะดีขึ้นนั่นเอง
ส่วนกระแสนิยมการบริโภคเครื่องดื่มชาเขียว ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมาเตือนว่าควรพิจารณาเลือก
บริโภคเฉพาะชนิดที่ไม่มีน้ำตาลผสม การชงชาด้วยตนเองนอกจากจะได้อรรถรสของการดื่มชาแล้ว ยังให้อรรถประโยชน์ของสารต้าน
อนุมูลอิสระที่ดีกว่า และควรพิจารณาเรื่องการบริโภคชาในปริมาณสูงๆ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อภาวะโภชนาการของสารอาหารอื่นได้
คำแนะนำเรื่องการดื่มชา
1. น้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ ‘ คาเทคชินส์’ จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ
ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้นเช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋วที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้น
ในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรสโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่า
นี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชา
ไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลง
ในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน
3. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนใน
นมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อ
สุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ ชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาเลย
4. ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสาร
สำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่
ธาตุต่างๆ จากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน
5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือแทนนิน ซึ่งจะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุ
ต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่า
จะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้โดยเฉพาะธาตุเหล็กและวิตามินบี 1
6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงคือ มีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
สูงกว่าปริมาณในน้ำประปา การที่ร่างกายได้รับเข้าไปทุกวันจากการดื่มน้ำชาเป็นประจำ จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้
โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล
7. ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารที่ชื่อว่า ‘ออกซาเลท oxalate’ แม้ว่าสารชนิดนี้จะมีอยู่น้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่ม
ชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเลทในร่างกายได้ สารชนิดนี้มีรายงานว่ามีผลทำลายไต เกิดนิ่วในไตได้
8. ใบชามีสารคาเฟอีนในปริมาณสูงอาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือ
ลดการดูดซึมของคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจ และสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
การดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกายขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปก็เกิดโทษได้ ในการนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหาร
ชนิดอื่นๆ ก็เช่นกันหากต้องนำไปทำให้ร้อน เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวก็จะหมดไปคงเหลือแต่รสชาติเท่านั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง
การนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านขบวนการความร้อนเพื่อคงคุณค่าของชาเขียวต่อสุขภาพร่างกาย หน้าร้อนนี้ชาเขียวยังคง
เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมดับกระหายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นนอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นควรเลือกดื่มชาเขียวในแบบที่ช่วยให้ร่างกายได้
รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าและเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
พิษอย่างแรง สามารถกวาดล้างสารอนุมูลอิสระซึ่งกัดกร่อนดีเอ็นเอในกระแสเลือด ลงได้ ผลจากการศึกษาพบว่าชาดำสามารถช่วยลด
โคเลสเตอรอลลงได้ 4% และลดไขมันเลว 8% จึงทำให้อันตรายของโรคหัวใจลดลงตามไปด้วยในส่วนขององค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า
ควรดื่มชาในระหว่างอาหารเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หลังจากดื่มชาประมาณ 30-50 นาที antioxidant activity ในเลือดจะพุ่งพรวดขึ้น
ไป 41-48% และคงอยู่เช่นนั้น นานประมาณ 80 นาที การที่เลือด มี antioxidant activity สูงขึ้นนี้ ย่อมทำให้ตัวร้ายในร่างกายคือ สาร
อนุมูลอิสระถูกขจัดไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็หมายถึงว่าสุขภาพจะดีขึ้นนั่นเอง
ส่วนกระแสนิยมการบริโภคเครื่องดื่มชาเขียว ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกมาเตือนว่าควรพิจารณาเลือก
บริโภคเฉพาะชนิดที่ไม่มีน้ำตาลผสม การชงชาด้วยตนเองนอกจากจะได้อรรถรสของการดื่มชาแล้ว ยังให้อรรถประโยชน์ของสารต้าน
อนุมูลอิสระที่ดีกว่า และควรพิจารณาเรื่องการบริโภคชาในปริมาณสูงๆ ซึ่งอาจมีผลเสียต่อภาวะโภชนาการของสารอาหารอื่นได้
คำแนะนำเรื่องการดื่มชา
1. น้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ ‘ คาเทคชินส์’ จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ
ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้นเช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋วที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้น
ในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรสโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่า
นี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง
2. ชาเขียวหรือสารสกัดจากใบชาสด หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชา
ไว้ได้ดี อย่างไรก็ตามหากขบวนการผลิตเครื่องดื่มชาเขียวต้องผ่านขบวนการต้มหรือทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ก่อนบรรจุลง
ในขวด ปริมาณสารสำคัญในน้ำชาก็จะถูกทำลายไปเช่นกัน
3. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนใน
นมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อ
สุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ ชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์จากชาเลย
4. ผู้ที่รับประทานวิตามินเสริม เช่น ธาตุเหล็ก เกลือแร่ หรือยาที่คล้ายคลึงกัน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำชาร่วมไปด้วย เพราะสาร
สำคัญจากใบชาจะไปตกตะกอนธาตุเหล็กหรือเกลือแร่ไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ในกรณีที่ดื่มน้ำชาร่วมกับการรับประทานอาหาร แร่
ธาตุต่างๆ จากผักใบเขียวหรือจากผลไม้ก็จะถูกสารสำคัญจากชาจับไว้หมดไม่ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายเช่นกัน
5. โทษของการดื่มชาต่อร่างกายก็มีรายงานเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสำคัญคือแทนนิน ซึ่งจะไปตกตะกอนโปรตีนและแร่ธาตุ
ต่างๆ จากอาหารที่รับประทาน ทำให้ลดการดูดซึมของสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชาไม่ว่า
จะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้โดยเฉพาะธาตุเหล็กและวิตามินบี 1
6. ใบชายังมีองค์ประกอบที่ให้โทษต่อร่างกายที่ยังไม่ค่อยมีคนกล่าวถึงคือ มีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง
สูงกว่าปริมาณในน้ำประปา การที่ร่างกายได้รับเข้าไปทุกวันจากการดื่มน้ำชาเป็นประจำ จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้
โรคกระดูกพรุน โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล
7. ใบชายังมีสารที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีก คือ สารที่ชื่อว่า ‘ออกซาเลท oxalate’ แม้ว่าสารชนิดนี้จะมีอยู่น้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่ม
ชามากๆ และดื่มบ่อยๆ เป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเลทในร่างกายได้ สารชนิดนี้มีรายงานว่ามีผลทำลายไต เกิดนิ่วในไตได้
8. ใบชามีสารคาเฟอีนในปริมาณสูงอาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะป้องกันหรือ
ลดการดูดซึมของคาเฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจ และสมองน้อยกว่ากาแฟมาก
การดื่มชามีทั้งคุณและโทษต่อร่างกายขึ้นอยู่กับการบริโภค ถ้ามากเกินไปก็เกิดโทษได้ ในการนำสารสกัดชาเขียวไปผสมกับอาหาร
ชนิดอื่นๆ ก็เช่นกันหากต้องนำไปทำให้ร้อน เช่น ขนมเค้ก คุณค่าชาเขียวก็จะหมดไปคงเหลือแต่รสชาติเท่านั้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง
การนำผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารสกัดชาเขียวไปผ่านขบวนการความร้อนเพื่อคงคุณค่าของชาเขียวต่อสุขภาพร่างกาย หน้าร้อนนี้ชาเขียวยังคง
เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมดับกระหายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นนอกจากจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นควรเลือกดื่มชาเขียวในแบบที่ช่วยให้ร่างกายได้
รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าและเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง
เลือกกินอาหารเสริม
เลือกกินอาหารเสริมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

อาหารเสริมพื้นฐานที่ควรเลือกบริโภค
1.วิตามินบีคอมเพล็กซ์ (Vitamin B-comples) คืออาหารเสริมที่รวมตั้งแต่ บี 1 ถึง บี 12 ที่ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสำคัญต่อระบบประสาทและสมอง ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย ผู้ใหญ่ควรบริโภคประมาณ 50-100 มิลลิกรัมต่อวันในทุกเช้า
2.วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่ตับของมนุษย์ไม่สามารถผลิตออกมาได้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องเติมเต็มเข้าสู่ร่างกาย และเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำจึงไม่สะสมอยู่ในร่างกาย สามารถแบ่งกินระหว่างวันได้ทุก ๆ 6 ชั่วโมง ปริมาณบริโภคที่แนะนำคือ 60-90 มิลลิกรัมต่อวันช่วยป้องกันการขาดสารอาหาร และปริมาณ 3,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยบำรุงร่างกาย วิตามินซีช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น ช่วยลดปัญหาในช่องปากและฟัน เช่น เลือดออกตามไรฟันบำรุงเหงือก
3.ซิงก์ (ZINC) เป็นแร่ธาตุที่ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศ และช่วยชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปกับเหงื่อ มีสารประกอบเมทัลโปรตีน ซึ่งเป็นโปรตีนสังเคราะห์ที่ช่วยในกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ และเนื้อเยื่อ ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ 5.5-9.5 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 4-7 มิลลิกรัมในผู้หญิง ควรกินพร้อมอาหาร หากกินเพียงอย่างเดียวขณะท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้
4.โอเมก้าทรี (Omega-3) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สกัดจากปลาทะเล และพืชจำพวกถั่ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นดีเอชเอ (DHA) โดยอวัยวะตับ แต่จากผลการวิจัยขององค์การความปลอดภัยของอาหารแห่งยุโรป (EFSA) ไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าช่วยบำรุงสมองในเด็ก แต่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและไขข้อต่างๆ ช่วยลดสภาวะจิตใจหดหู่ ลดคอเลสตอรอลในเลือด และลดอัตราเสี่ยงเป็นโรคหัวใจปริมารบริโภคที่แนะนำคือไม่ควรเกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
5.เวย์โปรตีน (Whey protein) เป็นอาหารเสริมที่สกัดได้จากหางนม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เช่น ชีส เนื้อแดง จึงเหมาะกับผู้กินชีวจิต และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะมีโปรตีนสูงช่วยเผาผลาญไขมัน เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และยังช่วยกรองระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด โดยการควบคุมการดูดซึมอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันคือ ไม่เกิน 1 หรือ 2 กรัม

เหตุผลที่ควรกินอาหารเสริม
1.มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแย่ เช่น สูบบุหรี่จัด หรือติดแอลกอฮอล์ ไลฟ์สไตล์เช่นนี้ เทียบได้กับการสะสมพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และยังมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เช่น กินอาหารไม่เป็นเวลา การกินอาหารแบบเร่งรีบจึงเคี้ยวไม่ละเอียด กินอาหารด้วย อาการเครียด พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ร่างกายกายดูดซึมสารอาหารไม่ได้เต็มที
2.ภาวะร่างกายสูญเสียพลังงาน เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงสูงอายุ หญิงวัยหมด ประจำเดือน หรือร่างกายปฏิเสธไม่รับอาหาร เพื่อใช้ในการสะสมความแข็งแรง เติมความสมบูรณ์ให้กับร่างกาย
3.อยู่ท่ามกลางสภาวะเป็นพิษ เช่น ร่างกายสะสมมลพิษไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนกำลังลง และใช้เวลานานกว่าร่างกายจะขับออกมหดทำให้สุขภาพอ่อนแอง่ายกว่าปกติ
4.กระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น การกินอาหารในภัตตาคาร หรือในร้านอาหารตามสั่งเป็นประจำ ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปอลมใดเพิ่มเติมมาในจานอาหารทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วน
อาหารเสริมที่เหมาะกับตัวเองคือ อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสุขภาพของเราให้ดีขึ้น ช่วยฟื้นฟูปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุด เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลีย หรือแม้แต่การช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายให้แข็งแรง และที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัยต่อสุขภาพกระดูก ตับและระบบประสาทของเราด้วย สิ่งสำคัญในการบริโภค คือ ควรกินตามปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวัน หากเกินปริมาณที่กำหนดไว้อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้

ในปัจจุบันนี้มีค่านิยมที่ถูกบ้างผิดบ้างกระตุ้นให้คนหันมาสนใจกินอาหารเสริม เช่น ถ้าอยากผิวสวยต้องกินอาหารเสริมที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก อยากสูงต้องกินแคลเซียมเสริม อยากความจำดีขึ้นต้องกินน้ำมันตับปลา หรือถ้าไม่อยากอ่อนเพลียให้กินวิตามินซี สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงแค่สรรพคุณข้างกล่องที่เชิญชวนให้ดูน่าซื้อมาบริโภค แต่จะดีกว่าถ้าเรารู้หลักการทำงานของอาหารเสริมเหล่านี้ และรับประทานอย่างถูกวิธีให้ได้ประโยชน์สูงสุด และไม่กลับเป็นโทษต่อร่างกาย
ศาสตราจารย์ อลันโลแกน แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด (HMS-CME) ได้กล่าวว่าอาหารเสริม (supplements) คือ สิ่งที่มาช่วยเติมเต็มสารอาหารให้แก่ร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่อาหารที่สามารถกินแทนมื้อหลักได้ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้คือ
1.มัลติวิตามิน (Multivitamins)
เป็นอาหารเสริมที่รวมวิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกาย ควรได้รับในแต่ละวัน มีส่วนประกอบหลักคือแคลเซียม และธาตุเหล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายให้สดชื่นกระฉับกระเฉง มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรืออยู่ในช่วงควบคุมอาหาร และในทางสูตินรีแพทย์นิยมให้วิตามินชนิดนี้แก่ผู้ป่วยสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงควบคุมอาหาร เพื่อเพิ่มเติมความสมบูรณ์ของครรภ์มารดาอีกด้วย มัลติวิตามินที่เป็นที่นิยมกินเป็นอาหารเสริม คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์
2.โพรไบโอติก (Probiotics)
ร่างกายควรได้รับอาหารเสริมจำพวกจุลินทรีย์และแบคทีเรีย เพื่อประโยชน์ในการย่อยอาหารอีกทั้งยังช่วยให้เกิดความสมดุลของระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายได้อีกด้วย อาหารเสริมประเภทนี้ได้แก่ ไฟเบอร์ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว
3.สารสกัดจากพืช (Herbal)
อาหารเสริมที่ได้จากสารสกัดจากพืชช่วยให้เราบริเวณได้ง่ายขึ้น ร่างกายยังสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ในทันที เช่น ขมิ้นชันอัดเม็ด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด สารสกัดจากใบแปะก๊วยอัดเม็ด ช่วยบำรุงสมองและความจำ เป็นต้น โดยส่วนต่าง ๆ ของพืชที่นำมาสกัดคือ ต้นอ่อน (ยอดใบ) ราก ดอก ผล ก้าน ใบ อาหารเสริมประเภทนี้ไม่สะสมในร่างกายและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ
4.กรดอะมิโน (Amino acid)
อาหารเสริมจำพวกกรดอะมิโน คือหน่วยย่อยโปรตีน ที่หน้าที่บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเซลล์เนื้อเยื่อ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย อาหารเสริมจำพวกนี้ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต อาหารเสริมยอดนิยมประเภทนี้คือ น้ำมันสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก และน้ำมันสกัดจากเมล็ดพืช
ศาสตราจารย์ อลันโลแกน แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด (HMS-CME) ได้กล่าวว่าอาหารเสริม (supplements) คือ สิ่งที่มาช่วยเติมเต็มสารอาหารให้แก่ร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่อาหารที่สามารถกินแทนมื้อหลักได้ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้คือ

เป็นอาหารเสริมที่รวมวิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกาย ควรได้รับในแต่ละวัน มีส่วนประกอบหลักคือแคลเซียม และธาตุเหล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายให้สดชื่นกระฉับกระเฉง มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรืออยู่ในช่วงควบคุมอาหาร และในทางสูตินรีแพทย์นิยมให้วิตามินชนิดนี้แก่ผู้ป่วยสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงควบคุมอาหาร เพื่อเพิ่มเติมความสมบูรณ์ของครรภ์มารดาอีกด้วย มัลติวิตามินที่เป็นที่นิยมกินเป็นอาหารเสริม คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์

ร่างกายควรได้รับอาหารเสริมจำพวกจุลินทรีย์และแบคทีเรีย เพื่อประโยชน์ในการย่อยอาหารอีกทั้งยังช่วยให้เกิดความสมดุลของระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายได้อีกด้วย อาหารเสริมประเภทนี้ได้แก่ ไฟเบอร์ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว

อาหารเสริมที่ได้จากสารสกัดจากพืชช่วยให้เราบริเวณได้ง่ายขึ้น ร่างกายยังสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ในทันที เช่น ขมิ้นชันอัดเม็ด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด สารสกัดจากใบแปะก๊วยอัดเม็ด ช่วยบำรุงสมองและความจำ เป็นต้น โดยส่วนต่าง ๆ ของพืชที่นำมาสกัดคือ ต้นอ่อน (ยอดใบ) ราก ดอก ผล ก้าน ใบ อาหารเสริมประเภทนี้ไม่สะสมในร่างกายและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ

อาหารเสริมจำพวกกรดอะมิโน คือหน่วยย่อยโปรตีน ที่หน้าที่บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเซลล์เนื้อเยื่อ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย อาหารเสริมจำพวกนี้ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต อาหารเสริมยอดนิยมประเภทนี้คือ น้ำมันสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก และน้ำมันสกัดจากเมล็ดพืช













อาหารเสริมที่เหมาะกับตัวเองคือ อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสุขภาพของเราให้ดีขึ้น ช่วยฟื้นฟูปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุด เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลีย หรือแม้แต่การช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายให้แข็งแรง และที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัยต่อสุขภาพกระดูก ตับและระบบประสาทของเราด้วย สิ่งสำคัญในการบริโภค คือ ควรกินตามปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวัน หากเกินปริมาณที่กำหนดไว้อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้
กินให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ
ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการหลายคน ให้กินนั่น หรือ ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวันปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอก ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3.ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและ กระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ ก็จะเป็นของคุณคะ
คนรักสุขภาพไม่ควรพลาด
1.ช็อกโกแลต
เห็นแบบนี้แล้ว สาว ๆ คงยิ้มกันแก้มปริ แต่เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไปในท้องตลาดนะคะ เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไปในท้องตลาดนั้น ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ฉะนั้นช็อกโกแลตเหล่านี้จึงให้โทษมากกว่าให้คุณ ดังนั้น เราควรหันมารับประทานดาร์กช็อกโกแลตกันดีกว่า เพราะในดาร์กช็อกโกแลตมีส่วนผสมของโกโก้อยู่ถึง 70–75 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงว่า มีสารฟลาโวนอยด์อยู่มากนั่นเอง ซึ่งสารฟลาโวนอยด์ตัวนี้ จะช่วยลดความดัน คอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี
2.กาแฟ
เครื่องดื่มที่จะเปลี่ยนวันซึม ๆ ของคุณ ให้กลับมาสดชื่นขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญฝากบอกมาว่า การดื่มกาแฟนั้นไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วต่อวัน เพราะหากดื่มมากกว่านี้ จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของคุณ โดยกาแฟที่คุณดื่มจะเลือกเป็นประเภทที่มีกาเฟอีน หรือประเภทที่ไม่มีกาเฟอีนก็ได้ เพราะทั้งสองชนิดต่างก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้เหมือนกัน แต่อย่าลืม ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ
3.ผักวอเตอร์เครส
ผักที่คนส่วนใหญ่มักนำไปปรุงเป็นสลัด หรือนิยมนำไปทำแซนวิช ที่นอกจากจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งได้อีกด้วย โดยในใบผักสีเขียว ๆ ที่คุณเห็นกันนี้ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยลด และยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในร่างกายของคุณได้เป็นอย่างดี รู้แบบนี้แล้ว อย่าช้า! ไปหาซื้อมารับประทานกันดีกว่า
4.วอลนัท
จริง ๆ แล้วไม่ว่าถั่วชนิดไหนก็มีผลดีต่อร่างกายของคุณทั้งสิ้น แต่วอลนัทออกจะพิเศษกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ สักหน่อย ตรงที่ถั่วชนิดนี้ มีทั้งกรดไขมัน และโอเมก้า 3 นอกจากนี้แล้วยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ นั่นหมายความว่าการรับประทานวอลนัทนั้น ไม่เพียงแค่ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักอีกด้วยนะ
5.น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกที่เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารของชาวยุโรปมาเนิ่นนาน เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดโอเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดชนิดนี้จะเข้าไปลดการสะสมไขมันในเส้นเลือด ลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ในการปรุงอาหารครั้งต่อไป ก็ลองเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอกกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณ
6.แอปเปิ้ล
แอปเปิ้ลผลสีแดงสีเขียวที่คุณรับประทานกันอยู่นี้ นอกจากความหวาน กรอบ หอม อร่อยแล้ว ในแอปเปิ้ลก็ยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และไฟเบอร์ ที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การรับประทานแอปเปิ้ล ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่า เล็กพริกขี้หนู จริง ๆ
7.โฮลเกรน
โฮลเกรน หรืออาหารซึ่งผลิตจากธัญพืช และเมล็ดพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ไม่ว่าจะเป็นขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ต่างก็เต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับอินซูลิน หรือระดับน้ำตาลในร่างกายของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปแล้ว ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย
8.ไวน์แดง
การดื่มไวน์แดงนั้น ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า สารโพลีฟีนอลในไวน์แดง จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และยังมีแอนตี้ออกซิแดนต์ที่นอกจากจะช่วยลดสารอนุมูลอิสระในร่างกายแล้ว ยังเป็นสารที่ช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย คำแนะนำในการดื่มไวน์นั้น สำหรับผู้หญิงควรดื่มแค่วันละ 1 แก้วก็พอ ส่วนผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวันนะคะ
นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราจริง ๆ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ด้วย ทั้งโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ อาหารดี ๆ แบบนี้ คนรักสุขภาพอย่างคุณพลาดไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะร่างกายของคุณนั้น ไม่มีใครดูแลได้ดีกว่าตัวเองแน่นอน
เห็นแบบนี้แล้ว สาว ๆ คงยิ้มกันแก้มปริ แต่เดี๋ยวก่อน! ไม่ใช่ช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไปในท้องตลาดนะคะ เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไปในท้องตลาดนั้น ใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ฉะนั้นช็อกโกแลตเหล่านี้จึงให้โทษมากกว่าให้คุณ ดังนั้น เราควรหันมารับประทานดาร์กช็อกโกแลตกันดีกว่า เพราะในดาร์กช็อกโกแลตมีส่วนผสมของโกโก้อยู่ถึง 70–75 เปอร์เซ็นต์ นั่นแสดงว่า มีสารฟลาโวนอยด์อยู่มากนั่นเอง ซึ่งสารฟลาโวนอยด์ตัวนี้ จะช่วยลดความดัน คอเลสเตอรอลในเส้นเลือด และยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

เครื่องดื่มที่จะเปลี่ยนวันซึม ๆ ของคุณ ให้กลับมาสดชื่นขึ้นได้อีกครั้ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญฝากบอกมาว่า การดื่มกาแฟนั้นไม่ควรดื่มเกิน 3 แก้วต่อวัน เพราะหากดื่มมากกว่านี้ จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของคุณ โดยกาแฟที่คุณดื่มจะเลือกเป็นประเภทที่มีกาเฟอีน หรือประเภทที่ไม่มีกาเฟอีนก็ได้ เพราะทั้งสองชนิดต่างก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้เหมือนกัน แต่อย่าลืม ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะนะคะ

ผักที่คนส่วนใหญ่มักนำไปปรุงเป็นสลัด หรือนิยมนำไปทำแซนวิช ที่นอกจากจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคร้ายอย่างมะเร็งได้อีกด้วย โดยในใบผักสีเขียว ๆ ที่คุณเห็นกันนี้ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยลด และยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งในร่างกายของคุณได้เป็นอย่างดี รู้แบบนี้แล้ว อย่าช้า! ไปหาซื้อมารับประทานกันดีกว่า

จริง ๆ แล้วไม่ว่าถั่วชนิดไหนก็มีผลดีต่อร่างกายของคุณทั้งสิ้น แต่วอลนัทออกจะพิเศษกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ สักหน่อย ตรงที่ถั่วชนิดนี้ มีทั้งกรดไขมัน และโอเมก้า 3 นอกจากนี้แล้วยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์มากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ นั่นหมายความว่าการรับประทานวอลนัทนั้น ไม่เพียงแค่ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด แต่ยังช่วยในเรื่องของการควบคุมน้ำหนักอีกด้วยนะ

น้ำมันมะกอกที่เป็นส่วนผสมในการปรุงอาหารของชาวยุโรปมาเนิ่นนาน เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดโอเลอิก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย กรดชนิดนี้จะเข้าไปลดการสะสมไขมันในเส้นเลือด ลดอัตราความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น ในการปรุงอาหารครั้งต่อไป ก็ลองเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอกกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณ

แอปเปิ้ลผลสีแดงสีเขียวที่คุณรับประทานกันอยู่นี้ นอกจากความหวาน กรอบ หอม อร่อยแล้ว ในแอปเปิ้ลก็ยังมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน และไฟเบอร์ ที่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคุณ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ การรับประทานแอปเปิ้ล ยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว เรียกได้ว่า เล็กพริกขี้หนู จริง ๆ

โฮลเกรน หรืออาหารซึ่งผลิตจากธัญพืช และเมล็ดพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ไม่ว่าจะเป็นขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ต่างก็เต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับอินซูลิน หรือระดับน้ำตาลในร่างกายของเราอีกด้วย นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปแล้ว ยังเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานอีกด้วย

การดื่มไวน์แดงนั้น ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน เพราะมีผลวิจัยออกมาว่า สารโพลีฟีนอลในไวน์แดง จะเข้าไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และยังมีแอนตี้ออกซิแดนต์ที่นอกจากจะช่วยลดสารอนุมูลอิสระในร่างกายแล้ว ยังเป็นสารที่ช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย คำแนะนำในการดื่มไวน์นั้น สำหรับผู้หญิงควรดื่มแค่วันละ 1 แก้วก็พอ ส่วนผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวันนะคะ
นับว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราจริง ๆ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ด้วย ทั้งโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ อาหารดี ๆ แบบนี้ คนรักสุขภาพอย่างคุณพลาดไม่ได้แล้วล่ะค่ะ เพราะร่างกายของคุณนั้น ไม่มีใครดูแลได้ดีกว่าตัวเองแน่นอน
กินแล้วไม่อ้วน
สุดยอดอาหาร กินแล้วไม่อ้วน สาวๆไม่ควรพลาด!!

1.อลาสกา แซลมอน
นี่คืออาหารที่ผู้หญิงทั้งหลายไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะในเนื้อปลาแซลมอนเต็มไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งดีต่อหัวใจเอามาก ๆ แถมยังช่วยปรับอารมณ์ของคุณไม่ให้ซึมเศร้า และช่วยป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้อีกต่างหาก นอกจากนี้ ในปลาแซลมอนยังมีโปรตีน และวิตามินดี ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ผู้หญิงมักจะขาด และสำหรับว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย ก็ต้องหาแซลมอนมารับประทานโดยด่วน เพราะในเนื้อปลายังมี DHA ซึ่งเป็นกรดไขมัน ที่เป็นสารอาหารจำเป็น สำหรับลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย
ทานแค่ไหนดี : สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา แนะนำว่า ควรทานปลาแซลมอน หรือปลาที่มีกรดไขมันดีคล้าย ๆ กับแซลมอน สัปดาห์ละ 2 มื้อ แต่ถ้าหาปลาอลาสกา แซลมอน สด ๆ ไม่ได้ จะทานเป็นปลาแซลมอนกระป๋องก็ได้เหมือนกัน

2.อลาสกา ไวด์ บลูเบอร์รี่ (Alaska Wild Blueberry)
ถ้าคุณเคยได้ยินว่า ผลไม้จำพวกเบอร์รี่เป็นผลไม้ชั้นยอดที่เต็มไปด้วยสารอาหารที่่มีประโยชน์ "บลูเบอร์รี่ป่า" จากอลาสกา ก็คืออัญมณีชั้นยอดกว่านั้นเลยล่ะ เพราะนี่คืออาหารชั้นยอดที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก จึงช่วยชะลอความชรา ซึ่งคุณสาว ๆ คงถูกใจเป็นแน่แท้ นอกจากนั้นแล้ว "บลูเบอร์รี่ป่า" ยังช่วยปกป้องอาการความจำเสื่อม ควบคุมเซลล์ประสาทสั่งการให้ทำงานเป็นปกติ แถมยังช่วงลดความดันโลหิตด้วย
แล้วทำไมต้องเป็น "บลูเบอร์รี่ป่า" นะหรือ? ก็เพราะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ได้เคยทดสอบหาสารต้านอนุมูลอิสระในอาหารแต่ละชนิด แล้วก็พบว่า "บลูเบอร์รี่" ชนะเลิศ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าใครเพื่อน โดยประกอบด้วย "แอนโทไซยานิน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเลิศ แถมยังมีแคลอรีต่ำ คุณสาว ๆ จึงหยิบมาทานได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดเลยล่ะ
ทานแค่ไหนดี : เลือกทานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ให้หลากหลายชนิด สักวันละครึ่งถ้วยหรือหนึ่งถ้วยก็พอแล้ว และในบรรดาเบอร์รี่นั้นควรมีบลูเบอร์รี่ป่าด้วย โดยสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต

3.ข้าวโอ๊ต
เรารู้กันดีว่า "ข้าวโอ๊ต" สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ แต่การศึกษาใหม่ยังพบด้วยว่า ในข้าวโอ๊ตเต็มไปด้วยไฟเบอร์ ทั้งที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ ซึ่งไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยควบคุมน้ำหนักของคุณได้ดีเลยล่ะ เพราะฉะนั้น อย่าลืมเลือกทานข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้านะจ๊ะ
ทานแค่ไหนดี : พยายามทานข้าวโอ๊ตให้ได้ทุกวัน หรือจะเลือกพวกโฮลเกรนแทนก็ได้ โดยสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา แนะนำว่า แต่ละวันเราควรรับประทานไฟเบอร์ให้ได้ 25-30 กรัม ซึ่งนั่นเท่ากับปริมาณของไฟเบอร์โดยเฉลี่ยที่หาได้จากข้าวโอ๊ตบดเลยนะ

4.บร็อคโคลี่
การศึกษาครั้งใหม่ค้นพบว่า เจ้าผักสีเขียวเข้มนี้สามารถช่วยปกป้องคุณสาว ๆ ไม่ให้เป็นมะเร็งเต้านมได้ เพราะมันจะไปช่วยลดระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผลิตออกมามากเกินไป นอกจากนั้นแล้ว ในบร็อคโคลี่ ยังเต็มไปด้วยวตามินซี และวิตามินเอ แถมยังช่วยให้คุณอิ่มท้องเร็ว ๆ โดยได้รับพลังงานเพียงแค่ 30 แคลอรีเท่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงคุณจะได้รับไฟเบอร์ โฟเลต แคลเซียม ธาตุเหล็ก และโปแตสเซียม เป็นโบนัสอีกนะ
ทานแค่ไหนดี : อย่าลืมเลือกบร็อคโคลี่อยู่ในมื้ออาหารของคุณสัก 2 ถ้วย หรือมากกว่านั้นต่อสัปดาห์

5.วอลนัท
"มีทั้ง โปรตีน ไฟเบอร์ วิตามิน แร่ธาตุ และโอเมก้า-3 แล้วจะมีเหตุผลอื่นใดอีกที่คุณสาว ๆ จะไม่เลือกทานวอลนัทล่ะ" ดร.เดวิด แอล แคทซ์ จากโรงเรียนแพทย์เยล บอก
หากทานวอลนัททุกวัน จะช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง นอนหลับได้ดีขึ้น จัดการความเครียดได้ง่ายขึ้น ช่วยปกป้องโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และอีกสารพัดประโยชน์ นอกจากนั้นแล้ว ยังมีการศึกษาชิ้นใหม่ล่าสุด บอกให้เรารู้ด้วยว่า วอลนัท มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในหนูได้ด้วย เช่นนี้แล้วคุณสาว ๆ ยังจะมองข้ามวอลนัทไปอีกหรือจ๊ะ
ทานแค่ไหนดี : ทานวอลนัทสักวันละ 1 ออนซ์ หรือประมาณ 28 กรัม ทุกวัน

6.อะโวคาโด
แม้ว่าคุณสาว ๆ อาจจะเคยรู้มาว่า "อะโวคาโด" มีไขมันสูง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรอกนะจ๊ะ เพราะกรดไขมันในอะโวคาโดนั้นดีต่อหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยังช่วยลดพุงน้อย ๆ ของคุณด้วย นอกจากนั้นแล้ว อะโวคาโด ยังมีโปแตสเซียม แมกนีเซียม โฟเลต โปรมีน วิตามินบี 6 และวิตามินเค แถมยังมีไฟเบอร์ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อีก ด้วยเหตุผลที่ยกมา แล้วคุณจะกลัวไขมันในอะโวคาโดอยู่อีกทำไมล่ะ
ทานแค่ไหนดี : เลือกทานวันละ 1 ใน 4 หรือครึ่งผลก็พอแล้ว

7.ถั่วแดง
บรรดาถั่วทั้งหลายจัดเป็นอาหารที่มีสารอาหารมากอยู่แล้ว แต่ที่ถั่วแดงได้รับการจัดอันดับไว้เป็นสุดยอดอาหารของสาว ๆ ในที่นี้ด้วย เป็นเพราะในถั่วแดงเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แถมยังมีโปรตีน โฟเลต แร่ธาตุ และไฟเบอร์รวมทั้งแป้งที่ย่อยเป็นน้ำตาลได้ยาก (Resistant Starch) ที่เพิ่งถูกค้นพบว่ามีประโยชน์สารพัด ทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ท้องอิ่มเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งได้อีกต่างหาก
ทานแค่ไหนดี : ทานถั่วแดงต้มสัปดาห์ละ 3 ถ้วยสิ แต่ถ้ากลัวท้องจะอืด ก็ให้เริ่มจากทานปริมาณน้อย ๆ ก่อน เช่นทานถั่วแดงต้มทุกวัน วันละ 1 ช้อนชา แล้วเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ ในสัปดาห์ถัดไป

8.กรีกโยเกิร์ต ไร้ไขมัน
กรีกโยเกิร์ตเต็มไปด้วยแคลเซียมซึ่งดีต่อกระดูกและฟัน แถมเพียงแค่กรีกโยเกิร์ตถ้วยเดียว ยังมีแคลเซียมสูงถึง 1 ใน 4 ของปริมาณที่ผู้หญิงต้องการต่อวัน มีโปรตีนมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไป 2 เท่า แถมยังไร้ไขมันอีกต่างหาก ซึ่งเหมาะกับคุณสาว ๆ ที่มีอาการลำไส้แปรปรวน หรือ IBS และยังมีโพไบโอติกสูง ซึ่งแม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่า โพไบโอติกดีต่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยืนยันว่า โพไบโอติกจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย โดยเฉพาะในฤดูที่ไข้หวัดใหญ่ระบาด กรีกโยเกิร์ตจะช่วยปกป้องสุขภาพของคุณสาว ๆ ได้เป็นอย่างดี

9.น้ำมันมะกอก
เมื่อพูดถึง "น้ำมัน" สาว ๆ หลายคนอาจจะขยาด แต่สำหรับ "น้ำมันมะกอก" ซึ่งพบได้บ่อยในอาหารจำพวกเมดิเตอร์เรเนียนนั้น ดีต่อสุขภาพอย่างสุด ๆ โดยเฉพาะต่อหัวใจ และสมอง ซึ่งการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ยืนยันว่า น้ำมันมะกอกจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ และยังช่วยบำรุงสมอง จัดระบบระเบียบความคิดไม่ให้ยุ่งเหยิงได้อีกต่างหาก
ไม่หมดแค่นั้้นนะ เพราะการศึกษาจากประเทศสเปน ในปี 2008 ยังระบุว่า น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Extra-virgin olive oil) ซึ่งเป็นน้ำมันมะกอกคุณภาพดีที่สุด เพราะสกัดแยกน้ำมันออกมาจากผลมะกอกโดยตรง สามารถช่วยปกป้องคุณสาว ๆ จากมะเร็งเต้านมได้ เพราะฉะนั้น อย่าลืมเลือกใช้น้ำมันมะกอกทาขนมปังแทนการใช้เนย หรือใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารแทนน้ำมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งหลายเสียล่ะ
ทานแค่ไหนดี : วันละ 2 ช้อนโต๊ะ เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้แล้ว

10.ดาร์ก ช็อกโกแลต
คงถูกใจสาว ๆ ที่ชอบทานช็อกโกแลต เพราะช็อกโกแลตก็ชอบคุณด้วยเหมือนกัน แต่ต้องเป็น "ดาร์ก ช็อกโกแลต" ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโกโก้เท่านั้นนะ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ และสโตรก นั่นเพราะดาร์ก ช็อกโกแลต มีแมกนีเซียม แมงกานีส ทองแดง สังกะสี และฟอสฟอรัส ในปริมาณมาก ซึ่งสารอาหารทั้งหลายเหล่านี้ยังช่วยให้กระดูกของคุณแข็งแรงด้วย
นอกจากนั้นแล้ว จากการศึกษายังพบอีกว่า ดาร์ก ช็อกโกแลต จะช่วยทำให้ผิวมีน้ำมีนวลมากขึ้น ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยให้สมองเฉียบแหลมขึ้นอีกต่างหาก แถมยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นด้วยนะ

ทานแค่ไหนดี : แนะนำว่าให้ทานสักวันละ 1 ส่วน 4 ออนซ์ก็พอ แต่ต้องแน่ใจด้วยนะว่าช็อกโกแลตที่คุณเลือกน่ะ มีส่วนผสมของ โกโก้ อย่างน้อย 70% เพราะถ้าไม่ใช่ดาร์ก ช็อกโกแลต แล้วล่ะก็ คุณอาจจะได้รับความอ้วนกลับมาแทน
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555
การจัดเก็บข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูล
เป็นการเก็บข้อมูลไว้ใน สื่อบันทึก เช่น เทปแม่เหล็ก แผ่นบันทึก หรือจานแม่เหล็ก โดยที่ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปของเลขฐานสองหลายบิตเรียงกัน ดังนั้นในการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการประมวลผลจึงต้องกำหนด รูปแบบหรือโครงสร้างของข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ตรงกัน โดยโครงสร้างของข้อมูลจะประกอบด้วย 5 ลำดับ ดังนี้
1) บิต คือตัวเลขโดดในระบบเลขฐานสอง ซึ่งมีค่าได้เพียง 0 หรือ 1 บิตเป็นหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดในการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์
(2) ตัวอักขระ (character) หมายถึง ตัวอักขระแต่ละตัว ซึ่งอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษรหรือเครื่องหมายใด ๆ การแทนตัวอักขระแต่ละตัวในคอมพิวเตอร์ใช้เลขฐานสองจำนวน 8 บิต ซึ่งเราเรียกอีกอย่างว่าไบต์
(3) เขตข้อมูล (field) หมายถึง หน่วยข้อมูลหน่วยหนึ่งที่กำหนดขึ้นมาแทนความหมายใดความหมายหนึ่ง เขตข้อมูลแต่ละเขตประกอบด้วยตัวอักขระตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป
(4) ระเบียนข้อมูล (record) หมายถึงกลุ่มของเขตข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกัน ระเบียนข้อมูลประกอบด้วยเขตข้อมูลตั้งแต่หนึ่งเขตขึ้นไป
(5) แฟ้มข้อมูล (file) หมายถึงกลุ่มของระเบียนข้อมูลแบบเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วยระเบียนข้อมูลตั้งแต่หนึ่งระเบียนขึ้นไป
เป็นการเก็บข้อมูลไว้ใน สื่อบันทึก เช่น เทปแม่เหล็ก แผ่นบันทึก หรือจานแม่เหล็ก โดยที่ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปของเลขฐานสองหลายบิตเรียงกัน ดังนั้นในการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการประมวลผลจึงต้องกำหนด รูปแบบหรือโครงสร้างของข้อมูลเพื่อให้ผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ตรงกัน โดยโครงสร้างของข้อมูลจะประกอบด้วย 5 ลำดับ ดังนี้
1) บิต คือตัวเลขโดดในระบบเลขฐานสอง ซึ่งมีค่าได้เพียง 0 หรือ 1 บิตเป็นหน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุดในการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์
(2) ตัวอักขระ (character) หมายถึง ตัวอักขระแต่ละตัว ซึ่งอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษรหรือเครื่องหมายใด ๆ การแทนตัวอักขระแต่ละตัวในคอมพิวเตอร์ใช้เลขฐานสองจำนวน 8 บิต ซึ่งเราเรียกอีกอย่างว่าไบต์
(3) เขตข้อมูล (field) หมายถึง หน่วยข้อมูลหน่วยหนึ่งที่กำหนดขึ้นมาแทนความหมายใดความหมายหนึ่ง เขตข้อมูลแต่ละเขตประกอบด้วยตัวอักขระตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป
(4) ระเบียนข้อมูล (record) หมายถึงกลุ่มของเขตข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกัน ระเบียนข้อมูลประกอบด้วยเขตข้อมูลตั้งแต่หนึ่งเขตขึ้นไป
(5) แฟ้มข้อมูล (file) หมายถึงกลุ่มของระเบียนข้อมูลแบบเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วยระเบียนข้อมูลตั้งแต่หนึ่งระเบียนขึ้นไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)